วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เมื่อมีอาการซึมเศร้าเพราะไม่มีเงิน

เมื่อยามที่เราไม่มีเงิน เราจะมีอาการเศร้าได้อย่างง่าย ๆ รู้สึกเบื่อไปหมด ไม่อยากพบหน้าใคร ไม่อยากไปอยู่ในแวดวงของเพื่อนสนิทมิตรสหาย หรือแม้แต่ญาติพี่น้อง และหากเป็นหนักขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะเกิดอาการของโรคซึมเศร้าได้ง่าย ๆ ในที่สุดเราก็จะท้อแท้สิ้นหวัง และหาทางกล่าวโทษโชคชะตา ดินฟ้าอากาศไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ได้มองที่ตัวเองเลยว่า ที่เราต้องมานั่งเบื่อหน่าย เศร้า และเป็นทุกข์อย่างนี้เพราะอะไรกัน
พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงอริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรจ มรรค หมายถึง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่มีสาเหตุและที่มาที่ไปทั้งสิ้น ซึ่งมักจะ "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และท้ายที่สุดก็จะดับไป" เป็นวัฎจักรของทุกสิ่ง ดังนั้นเมื่อเราทุกข์ ลองพิจารณาไปถึงต้นเหตุของทุกข์ดูให้ดี แล้วจะพบว่าหลาย ๆ เหตุแห่งความทุกข์นั้น เกิดขึ้นเพราะเราไม่มีเงินมากพอสำหรับความอยากมี อยากได้ที่ไม่มีวันสิ้นสุดของคนเรา
ที่มาของความเศร้าและอาการเบื่อของคนปกติทั่วไปมีอยู่หลายสาเหตุ แต่ที่เป็นสาเหตุสำคัญก็คือ "การมีเงินไม่พอใช้จ่าย" หรือ "มีเงินแล้วใช้มากกว่าที่หาได้" นับได้ว่าเป็นต้นเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดทุกข์นั่นเอง
มีบ้างที่บอกว่า "พอ" แล้ว แต่อีกหลายคนกลับบอกว่า "เท่าไหร่ก็ไม่เห็นพอ" การทำงานเพื่อให้ได้เงินมาแต่ละบาทไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่เชื่อลองไปหาบขนมขายดู คนไม่เคยทำก็จะเจ็บไหล่ ปวดขา และอีกสารพัดอาการที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ที่สำคัญแล้วเราจะได้พบกับความจริงที่ว่า เมื่อเราเป็นคนขายของบ้าง ไม่เห็นคนอื่นเค้าจะซื้อของง่าย ๆ แบบเราเลย เห็นปุ๊บ ซื้อปั๊บ ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า ในที่สุดก็จะมีเงินไม่พอใช้ให้ถึงวันสิ้นเดือน และเป็นต้นเหตุให้เราทุกข์และเบื่อหน่าย


เมื่อคิดได้เช่นนี้ เราจึงควรไตร่ตรองให้ดี ๆ ว่า เมื่อเรามีเงิน เราควรเก็บเงินอย่างไร และใช้จ่ายอย่างไร นึกไว้ตลอดเวลาว่า กว่าเราจะได้เงินเดือน หรือผลตอบแทนจากการลงทุนใด ๆ ก็ตาม เราจะต้องเหนื่อยยาก ทำงานถึงจะได้เงินมา เมื่อเรามีงานทำจึงถือว่าโชคดี และโอกาสยังเป็นของเรา ยังดีกว่าคนอื่นอีกจำนวนมากที่ไม่มีแม้แต่โอกาส ดังนั้นพึงจะรักษางานของเราเอาไว้ด้วยการทำงานในหน้าที่ให้เต็มที่ ให้ได้ผลงานที่ดีที่สุดตลอดเวลา และเมื่อเราทำงานเต็มที่ ได้เงินเดือนมาก็ควรใช้ และออมเพื่อตัวเราเองด้วย
ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะให้พึ่งพาไปได้ตลอด ตัวเราเองเท่านั้นที่จะทำให้เรามั่นคงแข็งแรง และเมื่อได้รู้เช่นนี้ เราจะไม่คิดวางแผนการเงินของเราเลยหรือ ลองตั้งเป้าหมายของการออมเงิน แล้วลงมือจดบันทึกรายวัน รายจ่ายของเราเป็นรายวัน พร้อมทั้งมีวินัยในการออมเงินให้ได้เป็นประจำ หากเริ่มต้นทำได้เช่นนี้ก็จะได้ชื่อว่าเป็นคน "มีเงิน" เมื่อมีเงินก็จะมีจิตใจที่เบิกบานพร้อมที่จะศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริหารเงินออมของเราให้งอกเงยอย่างมีสติ
ซึ่งเมื่อเรามีเงิน มีข้อมูลเพียงพอแล้ว เราก็จะได้ก้าวไปสู่ชั้นของการตัดสินใจที่ถูกต้อง เหมาะสมกับตัวเราเอง ในการนำเงินไปลงทุนให้เกิดดอกผลตามที่เราต้องการ โดยตัวเราสามารถเข้าใจและรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นนั้น ๆ ได้เยี่ยงมืออาชีพ "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข" ยังคงใช้ได้จนถึงปัจจุบัน

ไม่มีความคิดเห็น: