คุณหมอนักเล่นหุ้น
ชื่อของน.พ.ยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม โด่งดังขึ้นมาในราวต้นปี 2545 หลังจากที่เขาเข้ากว้านซื้อหุ้น บล.ซีมิโก้ จำนวน 5.095 ล้านหุ้น จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10.87% และใช้เวลาเพียงวันเดียวขายหุ้นทั้งหมดออกจากพอร์ต จากนั้นชื่อของน.พ.ยรรยง ก็ถูกดึงเข้าไปพัวพันกับสร้างราคาหุ้นของหลายบริษัท กระทั่งมีข่าวอีกว่าหมอใช้ "นอมินี" เข้าซื้อหุ้น บล.ยูไนเต็ด ร่วมกับ นายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือ "เสี่ยปู่" และเพื่อนร่วมก๊วนจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 14% ในโบรกเกอร์แห่งนี้ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผู้คนในแวดวงตลาดหุ้นตั้งคำถามว่า ชายผู้นี้เป็นใคร?...มาจากไหน? นักเลงหุ้นคนนี้มีความน่าสนใจมากกว่าการเป็นแค่ "นักเสี่ยงโชค" น.พ.ยรรยงเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นเมื่อปี 2532 ขณะที่ดัชนีประมาณ 600 จุด เคยผ่านวิกฤตการณ์ซัสดัมเมื่อปี 2533 ผ่านเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535 เคยผ่านยุคที่ตลาดหุ้นบูมสุดๆ เกือบ 1,800 จุด เมื่อต้นปี 2537 เคยผ่านเหตุการณ์ลอยตัวของค่าเงินบาท ปี 2540 และผ่านยุคตกต่ำที่สุดของตลาดหุ้นตอนดัชนีลงมาเหลือ 200 จุด เมื่อปี 2541 ไม่เพียงหมอรอดมาได้เท่านั้น แต่พอร์ตของเขากลับขยายเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ในยุคที่อิรักบุกคูเวตเมื่อปี 2533 น.พ.ยรรยงมีพอร์ตเล่นหุ้นเพียงแค่ 1-2 ล้านบาท เท่านั้น แต่วันนี้พอร์ตของหมอมีมูลค่าเฉียดพันล้านบาท หมอบอกว่า ปัจจุบันเขาซื้อขายหุ้นเฉลี่ยเดือนละ 1,000 ล้านบาท หรือปีละกว่า 10,000 ล้านบาท เริ่มลงทุนด้วยเงิน 5 แสนบาท เรียนจบทันตแพทย์จากรั้วมหิดลใน ปี 2525 และกลายเป็นหมอฟันเด็กที่มีอนาคตรุ่งโรจน์คนหนึ่งของวงการ โดยเริ่มต้นอาชีพหมอฟันด้วยการร่วมทุนกับเพื่อนเปิดคลินิกแถวถนนเทเวศน์ ขณะนั้นหมอมีรายได้เฉลี่ยไม่ต่ำกว่าเดือนละ 2 แสนบาท แต่หมอกลับคิดว่า "อาชีพหมอฟันไม่รวย แค่พอกินพอใช้เท่านั้น" หมอเล่าว่าเริ่มเข้าสู่ตลาดหุ้นเมื่อปี 2532 ขณะที่มีอายุประมาณ 31-32 ปี สมัยนั้นตลาดหุ้นเปิดครึ่งวันเช้า ช่วงเช้าหมอจะไปเล่นหุ้นช่วงบ่ายก็กลับคลินิก หมอทำอย่างนี้ประมาณ 3-4 ปี ก็ค้นพบว่าการเล่นหุ้นเป็นสิ่งที่ท้าทายกว่าอาชีพหมอฟัน เพราะโลกของหมออยู่แต่ภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ตั้งแต่เช้ายันเย็น "ผมชอบเล่นหมากรุก การเล่นหุ้นก็เหมือนการเดินหมาก ต้องใช้ความคิดตลอดเวลา ก็เลยตัดสินใจทิ้งอาชีพหมอฟันมาเล่นหุ้น ทั้งที่ตอนนั้นรายได้จากการเล่นหุ้นน้อยกว่ารายได้จากการทำฟัน" หมอเล่าให้ฟัง "ตอนที่เริ่มสตาร์ทผมลงเงินไป 500,000 บาท ตอนนั้นเลือกหุ้นที่คิดว่ามี "ราคาถูก" ผมจะซื้อหุ้นที่ราคาตกลงมามากๆ เลือกหุ้นที่มีพี/อี เรโชต่ำ และซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่าพาร์ เพราะเราคิดว่าราคาถูก" นั่นคือสิ่งที่หมอบอกว่า เขาเริ่มต้นเล่นหุ้นจากที่ไม่มีความรู้อะไรเลย ประสบการณ์เล่นหุ้นช่วงแรกๆ จึงไม่ราบลื่น สิ่งที่หมอคิดว่า "ราคาถูก" และ "ปลอดภัย" กลับตรงกันข้าม เล่นช่วงแรกเจ๊งมาตลอดจนเหลือเงินอยู่ 180,000 บาท สุดท้ายต้องกลับมาทบทวนใหม่แล้วค่อยๆ เรียนรู้ ถ้ามัวแต่ยึดข้อมูลในอดีต สักวันคงหมดตัวแน่!!!" ตามความเห็นของหมอ หุ้นเป็น "Dynamic" ฉะนั้น 1+1 ในตลาดหุ้นไม่จำเป็นต้องได้ผลลัพธ์เท่ากับ 2 เสมอไป ทฤษฎีการลงทุนบางครั้งก็ใช้ไม่ได้ แต่ต้องให้ประสบการณ์เป็น "ครู" "ผมก็กลับมาทบทวนดูว่า ต้องเปลี่ยนวิธีเล่นใหม่ ก็ตั้งเป็นเกณฑ์ว่า เมื่อไรที่เราเล่นหุ้นมีกำไร นั่นแหละวิธีการที่ถูก เมื่อใดที่เราเล่นหุ้นขาดทุนนั่นแหละวิธีการที่ผิด" เขาจึงได้บทสรุปว่า "จงทำตามแนวโน้มตลาด" อย่าฝืนเอาชนะ ดังนั้นกฎข้อแรกที่หมอได้เรียนรู้ ก็คือ "หุ้นยิ่งขึ้นต้องยิ่งซื้อ หุ้นยิ่งตกต้องยิ่งขาย" เขาเชื่อในตรรกะที่ว่า "ในสวรรค์ยังมีสวรรค์ ในนรกยังมีนรก" ทำให้เขาค้นพบว่าวิธีการเล่นหุ้นที่ดีที่สุดต้องเล่นหุ้น "ตามกระแส" จึงอยู่รอดในวงการนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น