วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เงินเป็นแค่ "วัตถุ" ใช้ซื้อความสุขไม่ได้

เงินเป็นแค่ "วัตถุ" ใช้ซื้อความสุขไม่ได้
ไม่น่าเชื่อว่าเบื้องหลังนักเลงหุ้นพันล้านอย่างน.พ.ยรรยงกลับเรียบง่าย เป็นนักเล่นหุ้นติดดิน จนอาจจะเรียกว่า "หลุดกรอบ" วิถีชีวิตของคนรวย ตรงข้ามกับวิธีคิดที่เฉียบคม และอยู่ในขั้นปราดเปรื่องคนหนึ่งของวงการ "ผมว่าความสุขมันไม่ได้อยู่ที่สิ่งของ ไม่ใช่ว่ามีบ้านใหญ่แล้วจะนอนหลับ มันไม่เกี่ยว ความสุขมันไม่ได้อยู่ที่ว่าเงินคุณซื้อได้ ตอนนี้ผมอายุ 44 ปี อย่างมากผมก็อยู่ได้อีก 30 ปี ยังไงผมตายไป เงินผมก็ยังเหลือ" หมอบอก Biz&Money ไว้อย่างนั้น คำนิยาม "ความสุข" ของน.พ.ยรรยง จึงแตกต่างจากหลายคน หมอบอกว่า นักเล่นหุ้นทั่วไปที่เขารู้จักส่วนใหญ่จะอยู่ในกรอบทั่วๆ ไป "แต่สำหรับผมจะหลุดกรอบออกมา อย่างเช่น เมืองนอกผมจะไม่ไปเลย จำได้ว่าเคยไปไกลสุด คือ สิงคโปร์ ผมชอบเที่ยวเมืองไทยมากกว่า ผมชอบการเดินป่าเป็นชีวิตจิตใจ ไปกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ....นี่แหละคือความสุขของผม " วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หมอชอบไปดูหนัง แต่วันธรรมดาหลังตลาดหุ้นปิดทุกเย็นหมอชอบไปวิ่งที่สวนลุม เขาให้เหตุผลว่าบรรยากาศก็ดี และไม่ต้องเสียตังค์...วันไหนที่หุ้นตก ก็จะวิ่งหลายรอบหน่อย! แต่หมอไม่ชอบไปตีกอล์ฟ และจะเข้าฟิตเนสเป็นบางครั้ง แต่จะไม่เลือกที่เป็นของฝรั่ง(ที่อยู่ในตึกที่หมอเล่นหุ้น) ซึ่งเขาบอกว่า "ค่อนข้างจะ Anti ฝรั่งในเรื่องนี้" โดยชีวิตส่วนตัวหมอบอกว่าตัวเองเป็นคนใช้เงินไม่เก่ง "10 ปีที่แล้วผมใช้เงินยังไง! วันนี้ก็ยังใช้เงินยังงั้น ปรัชญาของผมคิดว่าความสุขมันไม่ได้อยู่ที่เงิน การที่ผมทำเงินได้มาก เป็นเพราะผมชอบงานทางด้านนี้ ผมจะภูมิใจทุกครั้งที่ผมชนะมันมากกว่า" แต่การใช้ชีวิตกลับตรงกันข้าม ยกตัวอย่างนาฬิกาทุกวันนี้เขาใส่ไซโก้เรือนละ 9 พันบาท "ถ้าเป็นเพื่อนๆ เขาก็ใส่โรเล็กซ์ ตัวผมไม่เคยให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้ ผมมองว่าคุณค่าในตัวผมมีค่ามากกว่าพวกเสื้อผ้า รองเท้า หรือนาฬิกามาก ผมเดินไปไหน คนที่รู้จักเขาก็รู้ว่าผมรวยอยู่แล้ว ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องใส่ของแพงๆ เพื่อให้คนอื่นรู้ว่าผมรวย" หมอยังกล่าวอีกว่าสไตล์การใช้ชีวิตจะเน้นแบบง่ายๆ ชอบซื้อเสื้อผ้าลดราคา และรถที่ใช้ทุกวันนี้ก็เป็นรถเก่า "ผมไม่เคยซื้อรถป้ายแดงใช้ เพราะผมมองว่าราคารถใหม่มันสูงเกินไปสำหรับเมืองไทย รถยุโรปราคาคันละ 1-2 ล้านบาท ผมรออีก 3 ปี ผมสามารถซื้อมันในราคา Discount 50% ผมซื้อรถผมไม่ได้ขับไปโชว์ใคร แต่ผมจะดูสมรรถนะของมันมากกว่า" ปัจจุบันนี้หมอใช้รถวอลโว่ 850 ซึ่งเขาบอกว่า "ใช้มาแล้ว 6 ปี" ทุกครั้งที่จะซื้ออะไร? หมอจะมองที่ประโยชน์ของมันมากกว่า "ซื้อนาฬิกาค่าของมันอยู่ที่ "เวลา" ซื้อรถยนต์ ค่าของมันอยู่ที่ "สมรรถนะ"ในการขับ นี่คือคอนเซ็ปท์การใช้ชีวิตของผม อย่างเงินผมได้มาหลายร้อยล้านบาท ผมมี 500 ล้าน หรือมี 1 พันล้านบาทวันนี้ สำหรับผมมันไม่ได้ต่างกัน มันก็แค่ตัวเลข ยังไง! ผมก็ใช้ไม่หมด ทุกวันนี้ส่วนตัวใช้เงินแค่ 1-2 หมื่นบาทต่อเดือนเท่านั้น" เงินที่หามาได้ ส่วนหนึ่งหมอจะแบ่งไปทำบุญ "ตอนนี้ผมเอาไปทำบุญกับมูลนิธิสัตว์ ซื้ออาหารเลี้ยงหมา แมวจรจัดเดือนละ 1 แสนบาท ผ่านมูลนิธิของพี่สาวผม อีกส่วนหนึ่งก็ตั้งเป็นกองทุนการศึกษาให้กับเด็ก "สถาบันราชภัฏ" เป็นกองทุนประมาณ 5 แสนบาท ถ้าหมดก็ให้มาขอ คือ ถ้าผมทำอะไรเพื่อสังคมได้ ผมก็ทำ มันก็เป็นความสุขอีกอันหนึ่ง" หมอกล่าวว่าทุกวันนี้ไม่เคยคิดว่า การเล่นหุ้นเป็นการหาเงิน "ผมไม่เคยมีเป้าหมายว่าจะต้องได้เงินเท่าไร? แต่ผมคิดว่าการเล่นหุ้นมันเป็นความสุข มันท้าทาย...วันนี้ถ้าผมลงทุนผิด ผมจะต้องไปนอนคิดว่าทำไม! มันถึงผิด" ความฝันของหมอคือ เป็นเจ้าของ "โบรกเกอร์" อยากใช้เวทีนี้ให้ความรู้กับนักเล่นหุ้น "ผมตั้งใจมานานแล้ว" ก่อนหน้านี้เคยยื่นประมูล บล.ธนสยาม กับ บล.วชิระ ซิเคียวริตี้ส์ แล้วไม่ได้ จึงเข้ามาเป็นพันธมิตรกับ บล.ยูไนเต็ด "ใจของผมคืออยากเผยแพร่วิธีการเล่นหุ้นว่าทำไม! ผมถึงเล่นหุ้นแล้วได้กำไร" "จริงๆ แล้วตอนนี้ผมมองเงินเป็นแค่วัตถุอย่างหนึ่ง ผมไม่ได้นอนนับเงินแล้วมีความสุข เดี๋ยวนี้มีหลายร้อยล้านผมก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม ยังใส่รองเท้าแตะมาเล่นหุ้นทุกวัน เงินสำหรับผมมันก็เป็นแค่ตัวเลขทางบัญชีเท่านั้นเอง" เขากล่าว ทั้งหมดนี้คือ ตัวตนที่แท้จริงของ"น.พ.ยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม" ผู้ร่ำรวยมาจากการเล่นหุ้น แต่เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่เคยคิดกอบโกยความสุขจากเงินที่หามาได้

ไม่มีความคิดเห็น: